บทที่ 2 ตอนที่ 2
“ไหนว่าจะกลับดึกยังไงล่ะคะ”
อัสกร ศิริภูวดล คือรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยก่อนจะเลื่อนขั้นมาเป็นสามีในชีวิตจริงหลังจากที่เขาตามตื้อหล่อนมาถึงสองปีเต็ม
“พี่ไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงวัตถาก็รู้นี่ครับ ที่ไปนี่ก็เพราะขัดเจ้านายไม่ได้ พอมีโอกาสพี่ก็เลยขอตัวกลับมาก่อน”
อัสกรถอดสูทพาดเอาไว้กับพนักโซฟาพร้อมกับทรุดกายนั่งข้างๆ ภรรยา “ลูกๆ หลับกันหมดแล้วเหรอครับ”
“ม่านทองน่ะหลับไปตั้งแต่สามทุ่มแล้วล่ะค่ะ แต่สไบนางนี่สิ...”
ไม่ต้องให้ภรรยาพูดต่ออัสกรก็เข้าใจความหมายได้ดี ก็สไบนางลูกสาวคนโตของเขาทั้งแก่นทั้งเซี๊ยว ไม่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับกุลสตรีไทยเลยแม้แต่นิดเดียว วันๆ ก็พาลูกสมุนเข้าไปในไร่ส้ม คุมคนงานราวกับตัวเองเป็นผู้ชายอกสามศอก
“ก่อเรื่องอีกแล้วใช่ไหมวัตถา”
คนถูกถามพยักหน้าน้อยๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นกังวล
“ค่ะ ไปชกคนงานไร่ข้างๆ จนปากแตก ตาบวมเป่งเลย”
อัสกรถอนใจออกมาด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ “ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าเรามีลูกสาวสองคนจริงๆ หรือเปล่า”
วัตถาหัวเราะเจื่อนๆ
“วัตถาว่าเรามีลูกคนโตเป็นผู้ชายค่ะ”
สองพ่อแม่ต่างถอนใจออกมาอย่างไม่รู้จะแก้ปัญหานี่ยังไง “แล้วนี่แม่ตัวต้นเหตุไปไหนซะแล้วล่ะ ผมว่าต้องคุยกันสักหน่อย”
“ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ หนีออกไปนอนในไร่ตั้งแต่ตอนเย็น คงรู้ว่าพี่อัสจะดุนั่นแหละค่ะ”
“เป็นสาวเป็นนางไปนอนในไร่ได้ยังไงกัน ลูกคนนี้มันน่านักเชียว”
วัตถาฟังสามีพูดแล้วก็อดหัวเราะขบขันไม่ได้ “ใครจะกล้าคิดไม่ดีกับสไบมันคะพี่อัส มันได้กระทืบตายคาเท้าแน่”
“ผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยังค่ำนั่นแหละ สักวันพอเจอคนจริงเข้าจะถูกสยบจนหงอ เชื่อพี่สิ”
ภรรยาฟังคำพูดของสามีแล้วก็ใจคอไม่ดี “วัตถาใจคอไม่ดีเลยค่ะพี่อัส นี่ถ้าทางฝั่งนิธิโภคินได้ยินกิตติศัพท์ของสไบเข้าไป สงสัยถอนหมั้นแน่ๆ เลยค่ะ”
“ถ้าถอนหมั้นได้ง่ายๆ สไบก็คงสมใจอยากไปแล้วล่ะ”
ความผิดหวังระบายเต็มใบหน้าของวัตถา “นั่นสิคะ คำมั่นสัญญาตั้งแต่สมัยคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ คงยกเลิกไม่ได้ง่ายๆ”
“พี่ว่าไม่มีทางยกเลิกได้เลยต่างหาก คำสัญญาของผู้ใหญ่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์นัก ลูกหลานต้องทำตามแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม”
“ถ้าทางนู้นทวงมาเมื่อไหร่ เราก็ต้องรีบจัดการใช่ไหมคะ”
อัสกรพยักหน้าน้อยๆ “ใช่ครับ แต่พี่ว่าคงอีกนานแหละ เพราะได้ข่าวแว่วๆ มาว่าลูกชายคนเดียวของคุณวิทวัสประสบอุบัติเหตุที่รัสเซีย”
“คุณพระ” วัตถายกมือขึ้นทาบอก “แล้วเป็นอะไรมากไหมคะ วัตถาไม่เห็นได้ยินข่าวมาก่อนเลย คงปิดข่าวกันน่าดู”
“สาหัสเอาการอยู่ แต่ไม่รู้ว่ามากแค่ไหน ทางนิธิโภคินปิดข่าวจริงๆ นั่นแหละ นี่ถ้าพี่ไม่มีเพื่อนเป็นทนายความประจำตระกูลของนิธิโภคินก็คงไม่มีโอกาสได้รู้หรอก”
“นี่ถ้าสไบมาได้ยินเข้าคงกระโดดจนตัวลอย” วัตถาอดที่จะเอ่ยถึงบุตรสาวคนโตไม่ได้
“รายนั้นน่ะลอยตัวแล้ว แต่ม่านทองน่ะสิ คงต้องเตรียมตัวแต่งงานในเร็วๆ นี้”
วัตถาเบิกตากว้าง ตกใจ “แต่ลูกของเรายังเรียนไม่จบเลยนะคะ เหลืออีกตั้งเทอมหนึ่งแน่ะ น้องว่ามันเร็วเกินไปค่ะ”
“เราแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกวัตถา คำสั่งเสียของผู้ใหญ่คือสิ่งที่ต้องทำตาม”
คนฟังนิ่งเงียบ และก็ต้องยอมรับความจริง ช่วงที่แม่กับพ่อป่วยไร่ส้มที่มีเพียงแค่สิบไร่ถูกแบ่งออกเป็นสองแปลงและนำไปจำนองกับเพื่อนของบิดาถึงสองคน เพื่อนของท่านทั้งสองใจดีไม่คิดดอกเบี้ยและไม่กำหนดระยะเวลาคืนเงิน มีเพียงข้อแม้เดียวนั่นก็คือการดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน และถึงแม้ว่าในตอนนี้หล่อนจะชดใช้เงินจำนวนนั้นกับนิธิโภคินและไมตรีภัทรมงคลไปทั้งหมดแล้ว แต่สัญญาใจก็ยังคงอยู่ และไม่มีทางลบเลือนลงได้
“น้องไม่เคยคิดจะขัดคำสั่งผู้ใหญ่เลยนะคะ แค่อยากให้เวลาม่านทองสักพักเท่านั้นเองค่ะ แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางทำได้...”
“พี่คิดไม่ต่างจากวัตถาหรอก แต่คุณราเชนทร์ ไมตรีภัทรมงคลกลับมาจากต่างประเทศแล้ว ซึ่งพี่เชื่อว่าเขาจะต้องมาดูตัวม่านทองในเร็วๆ นี้แน่”
วัตถาฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มบางๆ ในใจก็อดที่จะสงสารบุตรสาวคนเล็กไม่ได้ แม้ม่านทองจะเรียบร้อยและไม่ค่อยมีปากมีเสียงเหมือนสไบนาง แต่หล่อนก็พอจะรู้ว่าแท้จริงแล้วม่านทองนั้นอ่อนนอกแข็งในต่างหาก
“อย่าทำหน้าเศร้าสิครับ เราขึ้นไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้วัตถาต้องตื่นแต่เช้าไปทำบุญที่วัดไม่ใช่หรือ”
สามีที่ประพฤติตัวดีเสมอต้นเสมอปลายมาตลอดเกือบสามสิบปีโอบรอบเอวของหล่อนเอาไว้ พลางดึงเข้ามากอดแนบอก
“พี่รักวัตถามากนะครับ อย่าเศร้าเลย”
วัตถายิ้มทั้งน้ำตาแนบดวงหน้าที่กาลเวลาไม่อาจจะพรากความงามไปได้กับอกกว้างของสามีอย่างวางใจ หล่อนโชคดีเหลือเกินที่เลือกผู้ชายได้ถูกต้องดีงาม แล้วภูษาล่ะ... ภูษาพี่สาวฝาแฝดของหล่อนกำลังมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขแบบหล่อนหรือเปล่า
